วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กฎการเข้าซื้อขายหุ้น

ทุกคนต้องมีกฎในการเข้าซื้อขายหุ้น ใช้เวลาอยู่กับกฎนั้น ทบทวนกฎเมื่อถึงเวลาว่ากฎนั้นยังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่
ต่อไปนี้กฎที่ต้องทำทุกครั้งคือ

การเลือกหุ้น เลือกหุ้นที่อยู่ใน SET100 เท่านั้น

การเข้าซื้อหุ้น
1. ซื้อหุ้นที่เป็นขาขึ้นเท่านั้น หุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือเปล่าให้ดูจาก MACD อยู่เหนือเส้น 0
2. หุ้นต้องมี higher high หรือทำจุดสูงสุดใหม่ ถ้าอยู่ wave 1 ได้จะดีมาก หรือทำ new all time high (สูงสุดตั้งแต่เข้าตลาด)
3. หุ้นต้องมี volume วันที่ซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย 6 เดือนย้อนหลัง (หา indi อยู่ ยังอาจพักไว้ก่อน)

การขายหุ้น
1. ขายเมื่อราคาลงมา "แตะ" stop loss ห้ามแหกกฎ
    - เมื่อหุ้นน่าจะอยู่ใน wave 1, 5, B ใช้ trailling stop หรือกฎ hi-lo
    - เมื่อหุ้นน่าจะอยู่ใน wave 3 ขายเมื่อหุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่ ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม

ปริมาณการเข้าซื้อ
ใช้สูตร 3-2-1 หุ้นแต่ละตัวซื้อแค่ 3 ครั้ง แบ่งเงินเป็น 6 ส่วน และซื้อเพิ่มเมื่อทำ higher high

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Volume Surge

จากทฤษฎีของ Dow ที่บอกว่าถ้าหุ้นจะขึ้นมันจะต้องมาพร้อม volume แต่บางครั้งราคายังไม่มาแต่ Volume มารอจนปริ่มจวนแตกแล้ว งี้มองได้ 2 อย่าง
1. ราคาใกล้มาแล้ว มันทาน volume ไม่ไหวแล้ว ซื้อรอได้เลย
2. Volume เยอะมากแต่ราคาไม่ไปไหน แปลว่ามีคนขายใส่ตลอด แนวต้านแข็งมาก หรือไม่ก็จ้าวปล่อยของ

แต่ยังไงก็แล้วแต่ถ้า Volume มันเยอะจริง ยังไงราคามันก็ต้องไป ฉะนั้นซื้อเมื่อราคามัน break แนวต้าน ซื้อรอก็อาจได้ถูก แต่ถ้ามันไม่ผ่านก็เจ็บตัว

ข้อดีของการซื้อเมื่อผ่านแนวต้านก็คือแนวต้านนั้นมันจะกลายเป็นแนวรับ(เอ๊ะได้ยินบ่อยๆ) ถ้ามันเป็นขาขึ้นจริงราคาก็มักไม่ลงมาต่ำกว่าแนวรับนี้

จะให้ดีควรหาตัวที่ volume เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน RSI ก็เพิ่มขึ้นแต่ราคากลับ side way แบบนี้มีเปอร์เซ็นที่มันจะขึ้น แต่ต้องดูด้วยว่ามันอยู่ wave ไหน ถ้า wave C มันก็อาจเริ่ม wave 1 ถ้าอยู่ wave 5 ก็มีเวลาเล่นแป๊บเดียว แต่ทั่วไปถ้า volume มาเยอะๆก็แปลว่ามันอยู่ wave 3 แล้วต้องดูให้ดีๆด้วย

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Divergence





Divergence แปลตรงตัวก็คือการขัดกัน ซึ่งหมายถึงแนวโน้มทิศทางของราคาขัดกันกับแนวโน้มของ indicator

Indicator ที่ใช้หา Divergence มีหลายตัว ที่นิยมใช้ก็คือ RSI, MACD หรือ Sto. Divergence นิยมมากเพราะไม่ค่อยพลาด(พลาดบ้างแต่ไม่บ่อย) ใช้ confirm แนวโน้มการเปลี่ยนของราคาได้ดีมาก มักเกิดขึ้นบ่อยเมื่อ wave 5 จะกลับตัวเป็น wave A หรือ wave C จะกลับตัวเป็น wave 1

วิธีจำ
Bullish divergence ดูท้องคลื่น Bearish divergence ดูยอดคลื่น

Divergence แบ่งเป็น
1. Divergence ธรรมดา ถ้าเกิดจะเป็นการ confirm การกลับตัว
2. Hidden divergence ถ้าเกิดจะเป็นการ confirm การไปต่อ

Divergence(กลับตัว)
1. Bullish divergence จะพบเมื่อกราฟเป็นขาลง ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(Lower low) แต่ indicator กลับไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ หรือจุดต่ำสุดที่สูงกว่าเดิม(Higher low)
2. Bearish divergence จะพบเมื่อกราฟเป็นขาขึ้น ราคาทำจุดสูงสุดใหม่(Higher high) แต่ indicator กลับทำจุดสูงสุดใหม่ไม่ได้ หรือจุดสูงสุดต่ำกว่าเดิม(Lower high)

Hidden Divergence(ไปต่อ)
1. Hidden bullish divergence จะพบเมื่อกราฟเป็นขาขึ้น ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม(Higher low) แต่ indicator กลับไม่ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น หรือทำจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าเดิม(Lower low)
2. Hidden bearish divergence จะพบเมื่อกราฟเป็นขาลง ราคาทำยอดคลื่นต่ำลง(Lower high) แต่ indicator กลับทำยอดคลื่นสูงกว่าเดิม(Higher high)

วิธีสังเกตุ Divergence ที่ง่ายที่สุดคือต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้เป็น trend อะไร และจำให้ได้ว่า Bullish ดูท้องคลื่น Bearish ดูยอดคลื่น เมื่อดูที่ราคาแล้วก็มาดูที่ indicator ถ้ามันขัดกันก็เกิด divergence แล้วค่อยมาดูว่ามันเป็น divergence แบบไหน

ข้อควรระวัง
Hidden divergence มักเกิดหลัง divergence ถ้าเห็น divergence แล้ว ราคากลับตัวมานิดเดียวแล้วกลับตัวไปตาม trend เดิมต่อ แบบนี้อาจเกิด hidden divergence ได้

เตือนใจ

- อย่าพยากรณ์อนาคต ให้อยู่กับปัจจุบัน เช่นวันนี้หุ้นลงแรงแต่ RSI ยังไม่ Overbought เลย ถ้ามันถึง Stop lose เราก็ต้องขายทิ้ง อย่าไปคิดว่าเฮ้ย...อีก 2-3 วันค่อยขายก็ได้ ยังงี้ไม่ได้หมดตัวแน่

- ของดีต้องแพง หมายถึงหุ้นดี ราคาไม่มีต่ำอยู่แล้ว ไม่ใช่เราคนเดียวที่จะเห็นว่ามันดี คนอื่นๆก็เห็นเหมือนกัน แล้วพวกนั้นเค้าก็ไปซื้อสะสมกันแล้ว ถ้าหุ้นจะขึ้นไม่มีทางที่มันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้นาน

- ตาม Trend ใหญ่และTrend จะมีจนกว่ามันจะหมดลง หมายถึงจะเล่นให้ดู Trend ใหญ่ด้วย เล่นฝืน Trend มันยากเหนื่อยด้วย เช่นถ้า trend มันขึ้นถึงจะเจอแนวต้าน ชาวบ้านเค้าบอกว่าระวัง double top ก็ฟังไว้แต่ให้คิดไว้ว่าถ้ากราฟมันยังไม่หักหัวลง มันก็ยังไม่เปลี่ยน trend แต่มันจะพุ่งทะลุแนวต้านไปได้ ถ้าเจอแบบนี้ก็เข้าได้ อย่าไปกลัว

- หุ้นไม่มีถูกแพง มีแต่ขึ้นหรือลง ถ้าหุ้นมันจะขึ้นถึงแพงก็ต้องซื้อ การดู PE ว่าหุ้นแพงถูกนั้นไม่อยากบอกว่ามันดูยากเพราะเราไม่รู้ว่าผู้บริหารบอกความจริงเราหรือเปล่า หรือบอกหมดหรือเปล่า ไม่อยากบอกว่าเมื่อก่อนทำงานบริษัทมหาชน Finance เคยมาขอให้ upload ไฟล์ 2 ตัว ตัวนึงขึ้น intranet ให้ผู้บริหารดู อีกตัวขึ้น internet ให้นักลงทุนทั่วไปดู ชื่อไฟล์เหมือนกัน แต่ข้อมูลข้างในไม่เหมือนกัน อืม....น่าคิดเนาะ

- อย่าเอา Indicator นำราคา หมายถึงการตัดสินใจต้องใช้ราคา ณ.ปัจจุบันเสมอ อย่ามองแต่ indicator เพราะ indicator เอาข้อมูลอดีตมาพยากรณ์อนาคต ให้ใช้ indicator ในการช่วย confirm ว่าที่เราคิดนั้นถูกต้องเช่นราคาเริ่มลงแล้วเราก็ดู indicator ว่าอ้อ RSI overbought แล้วนะเกิด divergence แล้วด้วย อย่างงี้ก็ควรขายได้ ไม่ใช่ว่าราคายังไม่ผงกหัวลงเลย แต่ดู RSI ว่า overbought แล้วเกิด divergence แล้วรีบขายซะก่อน กลัวจะลงอย่างนี้ไม่ได้เพราะราคามันอาจไม่ลงก็ได้

- อย่าโลภพยายามขายที่จุดสูงสุด ซื้อที่จุดต่ำสุด ถามจริงตั้งกะเล่นมาทำได้กี่ครั้ง บางคนทำไม่ได้เลย ฉะนั้นอย่าพยายามไปทำอะไรยากๆแบบนั้น โลภน้อยหน่อย ซื้อตอนราคามันเริ่มกลับตัวแล้ว กะขายตอนราคามันเริ่มผงกหัวลงแบบนี้ปลอดภัยกว่า โอกาสทำได้มากกว่า โอกาสขายหมูก็น้อยกว่า

- อย่ารีบเข้าไปรับมีดตอนราคามันลง รอมันนิ่งๆก่อนค่อยเข้าไปเก็บ แทนที่จะถัวเฉลี่ยขาลง สู้พอมันถึงพื้นแล้วเข้าไปกวาด ต้นทุนเราจะถูกกว่าเยอะ

- โลภได้เท่าความรู้ที่มี เช่นไม่รู้ว่าหุ้นตัวนี้ขึ้นเพราะอะไร สัญญาณอะไรก็ไม่มีซักอย่างแต่อยู่ๆมันก็ขึ้นอย่างงี้ก็ปล่อยมันไปเหอะ สัญญาณขึ้นยังไม่มีแล้วสัญญาณลงมันจะมีได้ไง โดดตามเข้าไปโอกาสอยู่ดอยก็มีสูง

- หุ้นที่จะขึ้นมันต้องทำ New high(จุดสูงสุดใหม่) และ Higher low(จุดต่ำสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ)
- หุ้นที่จะลงมันต้องทำ New low(จุดต่ำสุดใหม่) และ Lower low(จุดต่ำสุดต่ำลงเรื่อยๆ)

- อย่าปล่อยให้หุ้นที่ได้กำไรเปลี่ยนมาเป็นขาดทุน ตั้งจุด stop lose ที่เหมาะสม ถ้าลงมาโดนก็ออกเลย อย่าไปหวังลมๆแล้งๆว่ามันจะกลับมาขึ้น อย่าโลภมากอยากให้มันเด้งไปจุดเดิมก่อนค่อยขาย

- เล่นหุ้นให้สบายใจต้องเล่นแบบมี Stop loss เล่นแบบไม่โลภ การเล่นหุ้นเป็นเกมส์จิตวิทยา และสำคัญที่สุดโลภมากลาภหาย

- ไม่มีการ Take profit มีแต่ Let profits run เรามี Stop loss แล้วไง ก็ปล่อยกำไรมันวิ่งไปดิ ถ้ามันเปลี่ยน trend ราคามันก็ร่วงมาโดน stop loss เองล่ะ อย่าโลภมันจะกลายเป็นขายหมู

- คนฉลาดมักประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้นเป็นคนสุดท้าย เพราะว่าคนฉลาด IQ สูงความคิดเป็นระเบียบและคิดในเชิงตรรกะ หมายถึงการจะทำอะไรมักมองเห็นหรือคาดหมายสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าได้ เช่นถ้าให้ตัวเลข 1, 2, 3, X ถามว่า X คืออะไร คนที่มีตรรกะก็ไม่ต้องคิดเลยว่า X คือ 4 แต่แบบนั้นมันเอามาใช้กับตลาดไม่ได้ เคล็ดลับคืออย่าพยายามเดาตลาด มันเป็นไงก็ตามนั้น ทำตามปัจจุบันไปเรื่อยๆ

- ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่รวมความคาดหวังของคนไว้ ราคาจะเป็นไปตามความคาดหวังของคนหมู่มาก คิดสวนตลาดก็แปลว่าคิดไม่เหมือนคนอื่น ถ้ายังไม่เก่งก็คิดตามๆกันไปนั่นแหละ ได้ตัง อย่าไปหวังชนะตลาด ยอมตามไปแล้วได้เงินดีกว่า

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Dow Theory

ทฤษฎี Dow

ไม่ใช่ทั้งหมด แต่สรุปจากความเข้าใจ
1. Price discounts all news หมายถึงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข่าวดี ข่าวร้าย จะถูกสะท้อนอยู่ในราคาอยู่แล้ว ซึ่งในตลาดที่มีประสิทธิภาพราคาจะนำหน้าพื้นฐานเสมอ เทียบกับบ้านเราก็คงเป็นราคาจะเริ่มขยับขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ พอคนเริ่มตามราคาก็จะขึ้นแรงจากนั้นข่าวก็จะออกมาว่าขึ้นเพราะโน้นเพราะนี้ ก็ว่ากันไป

2. ตลาดจะ confirm ซึ่งกันและกัน อันนี้ต้องย้อนกลับไปไกลตั้งกะสมัย Dow คิดทฤษฎี ตอนนั้นอุตสาหกรรมบูมแต่จะส่งสินค้าไปให้ผู้บริโภคได้การขนส่งทางรถไฟต้องดีด้วย ฉะนั้นนักลงทุนขณะนั้นจะดูว่าหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมจะขึ้นมั้ย ต้องดูว่าหุ้นกลุ่มขนส่งมีสัญญาณหรือเปล่า เพราะ 2 กลุ่มนี้จะไปด้วยกัน อันนี้ถ้าจะมาเทียบกะสมัยนี้ก็คงต้องถ้าค่าระวางเรือ BDI ขึ้น หุ้นกลุ่มเรือก็น่าจะขึ้นด้วย อย่างงี้มั้ง

3. Trend จะมาต้องมี Volume มาด้วย คือถ้าหุ้นมันจะขึ้นจริง มันต้องมาจากมีคนซื้อเยอะจริงๆ หุ้นมันถึงจะขึ้น ข้อนี้อาจขัดกับหุ้นปั่นเมืองไทย ฉะนั้นถ้าจะใช้ Technical ควรหาหุ้นที่มี Volume หุ้นมหาชน ไม่งั้นกราฟที่ได้มันจะไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง

4. Trend จะมีไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะหมดลง หมายถึงถ้า trend ลงมันจะลงต่อ ถ้า trend ขึ้นมันจะขึ้นต่อ ให้คิดแบบนี้ไว้เสมอเพราะเราจะผิดครั้งเดียวตอนที่ตลาดมันกลับหัวลง แต่ถ้าไปคิดว่ามันขึ้นไปเจอแนวต้านแล้วมันจะลงเป็น double top หรือเข้าเขต overbought แล้วมันต้องลง แบบนี้ไม่ได้เพราะเราจะผิดทุกครั้ง จะถูกครั้งเดียวตอนที่มันลงจริงๆ(ลุงโฉลกพูดบ่อยมากๆ)

Elliott Wave

Elliott Wave
ทฤษฎีที่เค้าว่ากันว่าแม่นยำสูงแต่นั่นน่าจะเพราะหลักการมันยืดหยุ่นมาก อย่าใช้ Elliott wave เป็นหลักในการเข้าซื้อหรือขาย แต่ใช้ Elliott wave ในการพยายามหาว่าต่อไปข้างน่ามันน่าจะเป็นอะไร เพื่อเราจะได้เตรียมตัวถูก หลักการคืออย่าพยายามหาว่าตอนนี้เราอยู่คลื่นไหน แต่ให้พยายามถามตัวเองว่า คลื่นที่เราอยู่มันเป็นคลื่นอะไรได้บ้าง แล้วถ้าไม่ใช่มันควรเป็นคลื่นไหน รู้แบบนี้แล้วเราจะได้เปรียบเพราะจะหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน เช่นตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราน่าจะอยู่ใน wave 3 ของ time frame daily แต่ว่าน่าจะอยู่ใน wave B ของ time frame week/month เราก็ควรจะรู้ว่าต่อไปควรจะลงเพราะ trend ใหญ่มันยังเป็นขาลง รู้อย่างนี้ถ้าเราเข้าก็อย่าถือยาว ทำตัวเป็น VI ก็ได้ตังตอนแรก 3 เดือนหลังก็น้ำตาตก


Elliott wave มีส่วนสำคัญ 2 ส่วน
1. Motive wave
2. Corrective wave

Motive wave ไม่ได้แปลว่าต้องอยู่ในขาขึ้นเท่านั้นถึงจะเป็น motive wave ขาลงก็เป็น motive wave เหมือนกัน motive wave ความหมายง่ายๆก็คือเป็น wave ที่มีพฤติกรรมไปตาม trend ช่วงนั้นๆ สังเกตุดู motive wave จะมี 5 คลื่น 1-2-3-4-5 และจะยาวกว่า corrective wave เพราะ motive wave เป็นคลื่นตาม trend จึงยาวกว่าคลื่นที่ฝืน trend อย่าง corrective wave เป็นธรรมดา โดยทั่วไป motive wave จะมีทั้งหมด 5 คลื่น 1-2-3-4-5

Corrective wave ยึดตามนิยามของ motive wave corrective wave จึงหมายถึงคลื่นที่ฝืน trend ถ้าตามความหมายภาษาอังกฤษก็คือพยายามจะแก้ไข trend ที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่นตอนนี้เป็นขาขึ้น corrective wave ก็พยายามฝืน trend เป็นขาลง ถ้าเป็นขาลงอยู่ corrective wave ก็พยายามฝืนให้ trend เป็นขาขึ้น แต่เพราะฝืน trend คลื่นจึงสั้นกว่าคลื่นตาม trend อย่าง motive wave โดยทั่วไป corrective wave จะมีทั้งหมด 3 คลื่น A-B-C

พฤติกรรมอีกอันนึงที่น่าถีบของทฤษฎี Elliot wave คือในคลื่นใหญ่จะมีคลื่นเล็กๆอยู่ได้ไม่รู้จบ ทำให้เป็นการยากมากกกกกกกกก ที่จะนับคลื่นได้อย่างถูกต้อง และเป็นเหตุให้คลื่นที่ 2 กับ 4 ใน motive wave คือ corrective wave และในขณะเดียวกันคลื่น A กับ C ใน corrective wave จึงเป็น motive wave (บ้ามาก)

การจะดูว่าคลื่นไหนเป็น motive หรือ corrective ต้องดู trend ใน time frame นั้นๆประกอบด้วย
Elliott wave สัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับตัวเลข Fibonacci (อย่าถามว่าทำไม ไม่รู้เพราะไม่ได้อ่านหนังสือ นี่แค่การสรุปความรู้ที่มี) ฉะนั้นจึงใช้ Fibonacci Replacement ในการหาเป้าหมายร่วมกับ Elliott wave ได้

กฎของ Elliott wave (ฝืนไม่ได้)
1. wave 2 ต้องไม่ปรับตัวลงต่ำกว่า wave 1  มันก็แน่นอน wave 1 มันเริ่มขาขึ้นแล้วถ้ายังมีการทำ lower low อีกมันก็ยังไม่เป็นขาขึ้น แล้วมันจะเป็น wave 1 ได้ไง
2. wave 3 ต้องไม่ใช่ wave ที่สั้นที่สุด เพราะปกติ wave 3 เป็น wave ที่คนเข้ามาเล่นมากที่สุด จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสั่นกว่าชาวบ้าน
3. wave 4 ต้องไม่ล้ำเข้าไปในยอดคลื่นของคลื่นที่ 1 ยกเว้นได้ถ้า wave 4 ทำ Triangle formation

Guide line (เกิดหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนมากจะเกิด)
1. wave 5 ควรจะสูงกว่ายอดคลื่นของ wave 3
2. wave 2 และ wave 4 มักจะสลับรูปแบบกัน เช่น wave 2 เป็น simple แล้ว wave 4 มันจะเป็น complex

รูปแบบของคลื่น
Motive wave มีรูปแบบดังนี้
1. Impulse คลื่นทั่วๆไป

2. Extension คลื่นยืดตัว
    - ประกอบด้วยจำนวนคลื่น 5, 9, 13 หรือ 17 คลื่น
    - เกิดใน motive wave 1,3,5,A หรือ C



3. Diagonal triangle รูปแบบสามเหลี่ยม
    - มักเกิดใน wave 5 หรือ wave C บางครั้งเกิดใน wave 1
    - เมื่อออกจากปลายสามเหลี่ยมทิศทางจะไปในทางตรงข้าม


4. Truncated 5th เกิดกับคลื่น 5 ที่ไม่สูงกว่า wave 3
    - มักเกิดใน Wave 5 หรือ wave C แต่จะไม่เกิดในคลื่นที่ 5 ของ wave 3



Corrective wave มีรูปแบบดังนี้
1. Zigzag รูปแบบซิกแซก
    - รูปแบบคลื่นเป็น 5-3-5
    - ปกติพบใน wave A, X หรือ 2 บางครั้งพบใน wave 4
    - Wave B ปรับตัวไม่มากกว่า 61.8% หรือ 78.6% ของ wave A


2. Flat รูปแบบราบ
    - wave B ปรับตัวมากกว่า 61.8% ของ wave A
    - wave B ปกติจะปรับตัวถึงปลายคลื่นก่อนหน้า
    - wave C ไม่ยาวกว่า wave A ปกติจะยาวเท่ากับ wave A
    - พบบ่อยใน wave B, 4 และ 2

    Flat แบบผิดปกติ

3. Triangle รูปแบบสามเหลี่ยม
    สามเหลี่ยมปกติ
    - ประกอบด้วย 5 คลื่น
    - คลื่น 4 ซ้อนต่ำกว่าปลายคลื่น 1
    - เกิดเฉพาะใน wave B, X หรือ 4 เท่านั้น
    สามเหลี่ยมปลายกว้าง

4. Combination รูปแบบผสม


ใช้ Fibonacci ช่วยในการจำแนกคลื่น
Wave 1
Wave 2 ส่วนใหญ่จะปรับตัวลงประมาณ 61.8% หรือ 78.6% ของ wave 1 แต่จะเป็น double bottom ก็ได้
Wave 3 ส่วนใหญ่จะขึ้นไปประมาณ 161.8% ของ wave 1
Wave 4
Wave 5
Wave A
Wave B
Wave C ประมาณ 61.8% หรือ 78.6% ถ้าลากจาก wave 1 ไป 5

TIPs
Wave 1: เริ่มต้น motive wave wave นี้จับหรือรู้ตัวยากมาก เพราะเป็น wave ที่เริ่มเปลี่ยน trend เราอาจยังมีความไม่แน่ใจว่านี่มันเปลี่ยน trend แล้วจริงๆหรือเปล่าแต่บางครั้งจะมี divergence บอกก่อน หรือเมื่อราคาเริ่มขยับขึ้นจาก RSI oversold
Wave 2:
Wave 3: ส่วนใหญ่ 95% จะเป็น wave ที่คนเล่นเยอะที่สุด แรงที่สุด ฉะนั้นอาจหา wave 3 ได้จาก RSI overbought
Wave 4:
Wave 5: เป็น wave ปล่อยของให้แมงเม่า ฉะนั้นแรงซื้อจะเริ่มหมด แรงขายเริ่มแรง โดยมากจะเกิด divergence
Wave A:
Wave B:
Wave C: เป็น wave ที่คนขายกันเยอะสุด บ่อยครั้งจึงเห็น RSI oversold

ต้้งแต่เริ่ม motive wave 1-2-3-4-5 จน corrective wave A-B-C ส่วนใหญ่จะได้ RSI 1 รอบพอดีคือตั้งแต่เริ่ม oversold ไปจนถึง overbought ได้ motive wave 1-2-3-4-5 จากนั้น overbought จนลงไป oversold ได้ corrective wave A-B-C แต่ต้องดูใน time frame ที่เหมาะสมด้วยนะ